| 
| สาเหตุของความผิดปกติของการได้ยิน |  
|           ความผิดปกติของการได้ยินเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น ความผิดปกติตั้งแต่กำเนิด  เกิดจากอุบัติเหตุ  การติดเชื้อ โรคประจำตัวต่าง ๆ ยาและสารเคมี  เนื้องอกและโรคอื่น ๆ นอกจากนี้ภาวะที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติและยากที่จะหลีกเลี่ยงได้ ก็คือการได้ยินเสื่อมที่พบในผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นความเสื่อมตามสังขารและอีกกลุ่มที่สำคัญถือเป็นกรณีเร่งด่วนที่ต้องการเอาใจใส่ ดูแลคือ เด็กเพราะจะมีผลกระทบต่อการพัฒนาการทางภาษา การเรียนรู้  อารมณ์และพัฒนาการทางสังคม |  
|  |  
| ความจำเป็นในการใช้เครื่องช่วยฟัง |  
|           เครื่องช่วยฟังก็คือเครื่องขยายเสียง ช่วยให้ผู้ใช้ได้ยินเสียงดังขึ้น โดยที่เครื่องช่วยฟังที่ดีจะสามารถตั้งค่าความดังให้ มีขีดจำกัดอยุ่ในช่วงที่ฟังแล้วสบายหูกำลังดี ไม่ค่อยเกินไปและไม่ดังเกินไป ตลอดจนสามารถปรับเสียงทุ้มเสียงแหลมได้ พอเหมาะกับความต้องการของผู้ใช้แต่ละรายเมื่อมีปัญหาเกี่ยวกับการได้ยินซึ่งไม่สามารถรักษาได้จึงจำเป็นต้องใช้เครื่องช่วยฟัง และก่อนที่จะตัดสินว่าสมควรใช้ เครื่องช่วยฟังหรือไม่นั้นต้องตรวจวัดระดับการได้ยิน และหาสาเหตุของการได้ยินเสื่อมก่อน เพื่อที่จะได้รักษาควบคู่ไปด้วยกัน นอกจากนี้ระดับการได้ยินที่ตรวจวัดจะเป็นส่วนสำคัญในการเลือกเครื่องช่วยฟังและปรับแต่งความดังและเสียงทุ้มแหลมให้พอ เหมาะกับผู้ใช้แต่ละราย
 |  
|  |  
| ชนิดและประสิทธิภาพของเครื่องช่วยฟัง |  
| 
แบ่งได้ตามลักษณะของเครื่องได้แก่ |  
| 
เครื่องช่วยฟังแบบกล่อง ลักษณะเป็นกล่องแบน ๆ กว้างยาวประมาณ 2 เท่าของกล่องไม้ขีด  กล่องนี้จะใส่ไว้ใน กระเป๋าเสื้อแล้วมีสายไฟเล็ก ๆ ต่อมายังหูฟังที่เสียบในหูเครื่องช่วยฟังแบบทัดหลังหู ลักษณะเป็นกล่องขนาดนิ้วหัวแม่มือ โค้งเข้ากับหลังใบหูแล้วมีท่อพลาสติกต่อเข้า กับหูฟังที่เสียบในหูเครื่องช่วยฟังแบบใส่ในหู จะบรรจุในแบบพิมพ์ซึ่งมีรูปร่าง และขนาดพอดีกับช่องหูของผู้ใช้แต่ละคนเครื่องช่วยฟังแบบแว่นตา ตัวเครื่องจะฝังอยู่ในก้านแว่นตา แล้วมีท่อพลาสติกนำเสียงเข้าสู่หู |  
| 
แบ่งตามกลไกการทำงานของเครื่องได้แก่ |  
| 
เครื่องช่วยฟังแบบอะนาล็อก(analog)เครื่องช่วยฟังแบบอะนาล็อก (analog) แต่ปรับเครื่องโดยระบบดิจิตอล ซึ่งบางครั้งเรียกว่าแบบ โปรแกรมเมเบิล (programmable)เครื่องช่วยฟังแบบดิจิตอล ซึ่งจะทำงานได้ซับซ้อนขึ้น เช่น ตั้งค่าการปรับเสียงได้ละเอียดขึ้น หรือสามารถตัด เสียงรบกวนได้โดยอัตโนมัติ เป็นต้น |  
| การได้ยินชัดเจนเหมือนปกติของเสียงที่ผ่านการขยายจากเครื่องช่วยฟังอาจเพี้ยนหรือแปร่งไปบ้างเล็กน้อย ทั้งนี้ขึ้นอยู่ กับชนิดและคุณภาพของเครื่อง นอกจากนี้ปัจจัยที่สำคัญคือ  ระดับการได้ยินของผู้ป่วย ถ้าหูตึงมากย่อมต้องใช้กำลังขยายมาก ซึ่งเสียงย่อมมีโอกาสผิดเพี้ยนไปได้มากกว่าเมื่อใช้กำลังขยายน้อย ๆ |  
|  |  
| ข้อจำกัดหรือข้อควรระวังในการใช้เครื่องช่วยฟัง
 |  
| 
คนหูตึงที่ต้องการใช้เครื่องช่วยฟังต้องพอมีการได้ยินหลงเหลืออยู่บ้าง หรือยังคงต้องได้ยินเสียงดัง ๆ บ้าง นั่นก็คือ ประสาทหูและสมองบางส่วนยังพอทำงานได้ ดังนั้นผู้ที่หูหนวก ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยจะไม่ได้รับประโยชน์จาก เครื่องช่วยฟังการที่ผู้ใช้เครื่องช่วยฟังจะสามารถเข้าใจเสียงพูดได้ดีเพียงใดขึ้นอยู่กับสมรรถภาพของประสาทหูและสมอง  ถ้าเสื่อม มาก แม้เครื่องจะขยายเสียงแล้วก็อาจฟังแล้วไม่ชัดหรือไม่เข้าใจความหมายทั้งหมด ต้องใช้อ่านริมฝีปากของคู่สนทนา เพื่อช่วยให้เข้าใจความหมายได้ดียิ่งขึ้นข้อควรระวัง โดยทั่วไปแล้วก็เหมือนกับการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั่วไป คือ ไม่ควรทำตกหรือเปียกน้ำ  เพราะเครื่อง จะเสีย แต่ที่ต้องระวังเป็นกรณีเฉพาะในการใช้เครื่องมือการปรับระดับความดังให้พอเหมาะ ถ้าเสียงค่อยเกินไปจะได้ ยินไม่ชัด ในเด็กก็จะทำให้พูดไม่ชัดหรือพูดไม่ได้ ในทางตรงกันข้าม ถ้าเสียงดังเกินไป จะได้ยินไม่ชัด ในเด็กก็จะทำ ให้พูดไม่ชัดหรือพูดไม่ได้ ในทางตรงกันข้าม ถ้าเสียงดังเกินไป ก็จะเกิดอันตรายต่อหูชั้นใน ซึ่งมีผลทำให้การได้ยินยิ่ง เสื่อมลงมากขึ้น |  
|  |  
| ใช้เครื่องช่วยฟังมีโอกาสกลับมาได้ยินปกติหรือไม่
 |  
| การจะกลับมาได้ยินเป็นปกติอีกไม่ได้เป็นผลมาจากเครื่องช่วยฟัง แต่เป็นจากสาเหตุที่ทำให้หูตึง เช่น ถ้าหูตึงจาก กระดูกหูผิดปกติก็จะสามารถกลับเป็นปกติได้หลังผ่าตัดรักษา แต่ถ้าสาเหตุที่หูตึงนั้นมาจากความเสื่อมของสังขารก็ไม่สามารถ กลับมาเป็นปกติได้ |  
|  |  
| ข้อควรระวังและป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาเรื่องการได้ยิน
 |  
|           แม้แต่ในคนปกติทั่ว ๆ ไปก็ไม่ควรประมาท ควรมีความระมัดระวังตนเองตามสมควร เช่น |  
| 
ถ้ามีความผิดปกติกับหู ควรปรึกษาแพทย์ เช่น ปวดหู คันหู มีน้ำหรือหนองไหลจากหู ได้ยินน้อยลงหรือมีเสียง ในหู ตลอดจนเวียนศีรษะไม่ควรแคะหรือปั่นหูระวังการใช้ยาหรือสารเคมีต่าง ๆ เพราะอาจเป็นพิษต่อประสาทหูได้หลีกเลี่ยงเสียงดัง ถ้าเลี่ยงได้ เช่น ต้องทำงานในโรงงาน หรือเป็นตำรวจ ทหารที่ต้องฝึกยิงปืน ควรใช้เครื่อง ป้องกันเสียงระวังการกระทบกระเทือนศีรษะ เช่น ควรสวมหมวกกันน็อกเมื่อจะขับขี่หรือโดยสารรถจักรยานยนต์ฉีดวัคซีนป้องกันโรคต่าง ๆ เช่น หัด หัดเยอรมัน คางทูม ซึ่งรวมอยู่ในเข็มเดียวกันและฉีดวัคซีนป้องกันโรค สมองอักเสบรักษาสุขภาพให้แข็งแรง ตลอดจนรักษาโรคประจำตัวต่าง ๆ อย่างสม่ำเสมอ เช่น โรคเบาหวาน หรือความดัน โลหิตสูงเพราะล้วนแล้วแต่มีผลให้การได้ยินเสื่อมลงได้ |  
|  |  
| การได้ยินถือว่าเป็นระบบการรับรู้ที่สำคัญที่สุดระบบหนึ่งของมนุษย์เรา ถ้าการได้ยินผิดปกติก็จะมีผลกระทบต่อการ ดำเนินชีวิตในทุก ๆ ด้าน ดังนั้น จึงควรระวังไม่ให้การได้ยินเสื่อมลงไปก่อนวัยอันควร และถ้ามีปัญหาเกี่ยวกับการได้ยินก็อย่า เพิ่งท้อแท้สิ้นหวัง ควรปรึกษาแพทย์ เพราะบางสาเหตุอาจรักษาให้กลับมาเป็นปกติได้ ส่วนบางสาเหตุ แม้จะแก้ไขไม่ได้ แต่ ก็สามารถฟื้นฟูสมรรถภาพการได้ยินที่เหลืออยู่โดยวิธีอื่น เช่น การใช้เครื่องช่วยฟัง เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นตามศักยภาพ ของแต่ละบุคคล |  ามผิดปกติของการได้ยิน | 
|           ความผิดปกติของการได้ยินเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น ความผิดปกติตั้งแต่กำเนิด  เกิดจากอุบัติเหตุ  การติดเชื้อ โรคประจำตัวต่าง ๆ ยาและสารเคมี  เนื้องอกและโรคอื่น ๆ นอกจากนี้ภาวะที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติและยากที่จะหลีกเลี่ยงได้ ก็คือการได้ยินเสื่อมที่พบในผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นความเสื่อมตามสังขารและอีกกลุ่มที่สำคัญถือเป็นกรณีเร่งด่วนที่ต้องการเอาใจใส่ ดูแลคือ เด็กเพราะจะมีผลกระทบต่อการพัฒนาการทางภาษา การเรียนรู้  อารมณ์และพัฒนาการทางสังคม | 
|  | 
| ความจำเป็นในการใช้เครื่องช่วยฟัง | 
|           เครื่องช่วยฟังก็คือเครื่องขยายเสียง ช่วยให้ผู้ใช้ได้ยินเสียงดังขึ้น โดยที่เครื่องช่วยฟังที่ดีจะสามารถตั้งค่าความดังให้ มีขีดจำกัดอยุ่ในช่วงที่ฟังแล้วสบายหูกำลังดี ไม่ค่อยเกินไปและไม่ดังเกินไป ตลอดจนสามารถปรับเสียงทุ้มเสียงแหลมได้ พอเหมาะกับความต้องการของผู้ใช้แต่ละรายเมื่อมีปัญหาเกี่ยวกับการได้ยินซึ่งไม่สามารถรักษาได้จึงจำเป็นต้องใช้เครื่องช่วยฟัง และก่อนที่จะตัดสินว่าสมควรใช้ เครื่องช่วยฟังหรือไม่นั้นต้องตรวจวัดระดับการได้ยิน และหาสาเหตุของการได้ยินเสื่อมก่อน เพื่อที่จะได้รักษาควบคู่ไปด้วยกัน นอกจากนี้ระดับการได้ยินที่ตรวจวัดจะเป็นส่วนสำคัญในการเลือกเครื่องช่วยฟังและปรับแต่งความดังและเสียงทุ้มแหลมให้พอ เหมาะกับผู้ใช้แต่ละราย
 | 
|  | 
| ชนิดและประสิทธิภาพของเครื่องช่วยฟัง | 
| 
แบ่งได้ตามลักษณะของเครื่องได้แก่ | 
| 
เครื่องช่วยฟังแบบกล่อง ลักษณะเป็นกล่องแบน ๆ กว้างยาวประมาณ 2 เท่าของกล่องไม้ขีด  กล่องนี้จะใส่ไว้ใน กระเป๋าเสื้อแล้วมีสายไฟเล็ก ๆ ต่อมายังหูฟังที่เสียบในหูเครื่องช่วยฟังแบบทัดหลังหู ลักษณะเป็นกล่องขนาดนิ้วหัวแม่มือ โค้งเข้ากับหลังใบหูแล้วมีท่อพลาสติกต่อเข้า กับหูฟังที่เสียบในหูเครื่องช่วยฟังแบบใส่ในหู จะบรรจุในแบบพิมพ์ซึ่งมีรูปร่าง และขนาดพอดีกับช่องหูของผู้ใช้แต่ละคนเครื่องช่วยฟังแบบแว่นตา ตัวเครื่องจะฝังอยู่ในก้านแว่นตา แล้วมีท่อพลาสติกนำเสียงเข้าสู่หู | 
| 
แบ่งตามกลไกการทำงานของเครื่องได้แก่ | 
| 
เครื่องช่วยฟังแบบอะนาล็อก(analog)เครื่องช่วยฟังแบบอะนาล็อก (analog) แต่ปรับเครื่องโดยระบบดิจิตอล ซึ่งบางครั้งเรียกว่าแบบ โปรแกรมเมเบิล (programmable)เครื่องช่วยฟังแบบดิจิตอล ซึ่งจะทำงานได้ซับซ้อนขึ้น เช่น ตั้งค่าการปรับเสียงได้ละเอียดขึ้น หรือสามารถตัด เสียงรบกวนได้โดยอัตโนมัติ เป็นต้น | 
| การได้ยินชัดเจนเหมือนปกติของเสียงที่ผ่านการขยายจากเครื่องช่วยฟังอาจเพี้ยนหรือแปร่งไปบ้างเล็กน้อย ทั้งนี้ขึ้นอยู่ กับชนิดและคุณภาพของเครื่อง นอกจากนี้ปัจจัยที่สำคัญคือ  ระดับการได้ยินของผู้ป่วย ถ้าหูตึงมากย่อมต้องใช้กำลังขยายมาก ซึ่งเสียงย่อมมีโอกาสผิดเพี้ยนไปได้มากกว่าเมื่อใช้กำลังขยายน้อย ๆ | 
|  | 
| ข้อจำกัดหรือข้อควรระวังในการใช้เครื่องช่วยฟัง
 | 
| 
คนหูตึงที่ต้องการใช้เครื่องช่วยฟังต้องพอมีการได้ยินหลงเหลืออยู่บ้าง หรือยังคงต้องได้ยินเสียงดัง ๆ บ้าง นั่นก็คือ ประสาทหูและสมองบางส่วนยังพอทำงานได้ ดังนั้นผู้ที่หูหนวก ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยจะไม่ได้รับประโยชน์จาก เครื่องช่วยฟังการที่ผู้ใช้เครื่องช่วยฟังจะสามารถเข้าใจเสียงพูดได้ดีเพียงใดขึ้นอยู่กับสมรรถภาพของประสาทหูและสมอง  ถ้าเสื่อม มาก แม้เครื่องจะขยายเสียงแล้วก็อาจฟังแล้วไม่ชัดหรือไม่เข้าใจความหมายทั้งหมด ต้องใช้อ่านริมฝีปากของคู่สนทนา เพื่อช่วยให้เข้าใจความหมายได้ดียิ่งขึ้นข้อควรระวัง โดยทั่วไปแล้วก็เหมือนกับการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั่วไป คือ ไม่ควรทำตกหรือเปียกน้ำ  เพราะเครื่อง จะเสีย แต่ที่ต้องระวังเป็นกรณีเฉพาะในการใช้เครื่องมือการปรับระดับความดังให้พอเหมาะ ถ้าเสียงค่อยเกินไปจะได้ ยินไม่ชัด ในเด็กก็จะทำให้พูดไม่ชัดหรือพูดไม่ได้ ในทางตรงกันข้าม ถ้าเสียงดังเกินไป จะได้ยินไม่ชัด ในเด็กก็จะทำ ให้พูดไม่ชัดหรือพูดไม่ได้ ในทางตรงกันข้าม ถ้าเสียงดังเกินไป ก็จะเกิดอันตรายต่อหูชั้นใน ซึ่งมีผลทำให้การได้ยินยิ่ง เสื่อมลงมากขึ้น | 
|  | 
| ใช้เครื่องช่วยฟังมีโอกาสกลับมาได้ยินปกติหรือไม่
 | 
| การจะกลับมาได้ยินเป็นปกติอีกไม่ได้เป็นผลมาจากเครื่องช่วยฟัง แต่เป็นจากสาเหตุที่ทำให้หูตึง เช่น ถ้าหูตึงจาก กระดูกหูผิดปกติก็จะสามารถกลับเป็นปกติได้หลังผ่าตัดรักษา แต่ถ้าสาเหตุที่หูตึงนั้นมาจากความเสื่อมของสังขารก็ไม่สามารถ กลับมาเป็นปกติได้ | 
|  | 
| ข้อควรระวังและป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาเรื่องการได้ยิน
 | 
|           แม้แต่ในคนปกติทั่ว ๆ ไปก็ไม่ควรประมาท ควรมีความระมัดระวังตนเองตามสมควร เช่น | 
| 
ถ้ามีความผิดปกติกับหู ควรปรึกษาแพทย์ เช่น ปวดหู คันหู มีน้ำหรือหนองไหลจากหู ได้ยินน้อยลงหรือมีเสียง ในหู ตลอดจนเวียนศีรษะไม่ควรแคะหรือปั่นหูระวังการใช้ยาหรือสารเคมีต่าง ๆ เพราะอาจเป็นพิษต่อประสาทหูได้หลีกเลี่ยงเสียงดัง ถ้าเลี่ยงได้ เช่น ต้องทำงานในโรงงาน หรือเป็นตำรวจ ทหารที่ต้องฝึกยิงปืน ควรใช้เครื่อง ป้องกันเสียงระวังการกระทบกระเทือนศีรษะ เช่น ควรสวมหมวกกันน็อกเมื่อจะขับขี่หรือโดยสารรถจักรยานยนต์ฉีดวัคซีนป้องกันโรคต่าง ๆ เช่น หัด หัดเยอรมัน คางทูม ซึ่งรวมอยู่ในเข็มเดียวกันและฉีดวัคซีนป้องกันโรค สมองอักเสบรักษาสุขภาพให้แข็งแรง ตลอดจนรักษาโรคประจำตัวต่าง ๆ อย่างสม่ำเสมอ เช่น โรคเบาหวาน หรือความดัน โลหิตสูงเพราะล้วนแล้วแต่มีผลให้การได้ยินเสื่อมลงได้ | 
|  | 
| การได้ยินถือว่าเป็นระบบการรับรู้ที่สำคัญที่สุดระบบหนึ่งของมนุษย์เรา ถ้าการได้ยินผิดปกติก็จะมีผลกระทบต่อการ ดำเนินชีวิตในทุก ๆ ด้าน ดังนั้น จึงควรระวังไม่ให้การได้ยินเสื่อมลงไปก่อนวัยอันควร และถ้ามีปัญหาเกี่ยวกับการได้ยินก็อย่า เพิ่งท้อแท้สิ้นหวัง ควรปรึกษาแพทย์ เพราะบางสาเหตุอาจรักษาให้กลับมาเป็นปกติได้ ส่วนบางสาเหตุ แม้จะแก้ไขไม่ได้ แต่ ก็สามารถฟื้นฟูสมรรถภาพการได้ยินที่เหลืออยู่โดยวิธีอื่น เช่น การใช้เครื่องช่วยฟัง เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นตามศักยภาพ ของแต่ละบุคคล | 
| ขอขอบคุณบทความดีๆจาก : ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา (คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล)
 |